ความหมายและที่มาของนาฏศิลป์

ความหมาย ที่มาของนาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์ไทย  จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอย่างหนึ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา  ดังนี้




 1.1  ความหมาย


   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พุทธศักราช  2542 
ได้ให้ความหมายของคำว่า “ นาฏศิลป์ ”  ไว้ว่า “ เป็นศิลปะแห่ง
การละครหรือการฟ้อนรำ ” นอกจากนี้  ยังมีนักการศึกษาและท่านผู้รู้ได้ให้นิยามความหมายของนาฏศิลป์แตกต่างกันออกไป  ดังนี้

1. ความช่ำชองในการละครและฟ้อนรำ2. ศิลปะการละครหรือการฟ้อนรำของไทย3. การร้องรำทำเพลง  เพื่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ4. การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น   โดยการเลียนแบบ        ท่าธรรมชาติด้วยความประณีตลึกซึ้ง5. ศิลปะการฟ้อนรำหรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ          ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความงามอย่างมีแบบแผน

   นาฏศิลป์  หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม  ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
    การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์
    นาฏศิลป์ นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว 
ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ 
และถ่ายทอดสืบต่อไป
    จากความหมาย และนิยามดังกล่าวข้างต้น  สามารถสรุปได้ว่า  
นาฏศิลป์มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะด้านการละคร  การฟ้อนรำ  การเคลื่อนไหวอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งมือ  แขน  ขา  ลำตัว  และใบหน้า
เพื่อถ่ายทอดความหมาย  และอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึก
สะเทือนอารมณ์และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน

 1.2ที่มา

   
     สันนิษฐานว่านาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อม ๆ กับชนชาติไทย 
ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึง
วิชีวิตความเป็นอยู่  การแต่งกาย  คติ และความเชื่อของคนไทย
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทยน่าจะมี
ที่มาจาก  4  แหล่ง  ดังนี้
1    1.จากการเลียนแบบธรรมชาติ
       จากการเลียนแบบธรรมชาติ   กิริยาท่าทางตามธรรมชาติของ         มนุษย์จะบ่งบอกความหมาย และสื่อความหมายกับผู้อื่นได้ควบคู่
   ไปกับการพูด  ในการฟ้อนรำจะช่วยให้ท่ารำสื่อความหมายกับผู้ชม     เช่นเดียวกัน  จะเห็นได้ว่าการแสดงบางชุดจะไม่มีเนื้อร้อง
   แต่มีทำนองเพลงเพียงอย่างเดียว  นักแสดงก็จะฟ้อนรำ
   ไปตามทำนองเพลงนั้น ๆ ด้วยลีลาท่ารำต่าง ๆ ลีลาท่ารำเหล่านี้
   ก็เป็นท่าทางธรรมชาติที่ใช้สื่อความหมาย  ด้วยเหตุผลที่ว่า
   ต้องการให้ผู้ชมเข้าใจความหมายในการรำ  และใช้ท่ารำ
   ในการดำเนินเรื่องด้วย 
      2.จากการละเล่นของชาวบ้าน
  จากการละเล่นของชาวบ้านในท้องถิ่น หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ  
ในแต่ละวันชาวบ้านก็หาเวลาว่างมาร่วมกัน  ร้องรำ ทำเพลง 
โดยมีการนำเอาดนตรีมาประกอบด้วย   และตามนิสัยของคนไทย
ที่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้นโดยจะมีลูกคู่ คอยร้องรับกันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง  
เพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวัน
       3.จากการแสดงที่เป็นแบบแผน
   จากการแสดงที่เป็นแบบแผน เป็นที่ทราบกันดีว่า นาฏศิลป์ไทยที่เป็นมาตรฐานจะได้รับการปลูกฝัง และถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยในวังหลวง  ที่ฝึกให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่
ในวังเป็นนักแสดงโขนและละคร เพื่อใช้การแสดงในโอกาสต่าง ๆ และจากการที่นาฏศิลป์ไทยบางส่วนได้รับการถ่ายทอดมา
จากวังหลวงนี้เอง ทำให้ทราบว่านาฏศิลป์ไทยมีที่มาตั้งแต่
สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี  เพราะได้มีการจารึกไว้ในหลักศิลาจารึกหลักที่  8 ว่า “ ระบำ  รำ  เต้น  เล่น  ทุกฉัน” ซึ่งศิลปะการฟ้อนรำก็ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา  จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนำศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนมาสู่ระบบการศึกษา  
ซึ่งบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนนาฏศิลป์หรือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน
       4.จากการรับอารยธรรมของอินเดีย
    จากการรับอารยธรรมของอินเดีย  ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณกาล  
โดยเฉพาะการละครในอินเดียรุ่งเรืองมาก  
ประกอบกับชนชาติอินเดียนับถือ และเชื่อมั่นในศาสนา
พระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ 
พระผู้เป็นเจ้าที่ชาวอินเดีย  ได้แก่  พระศิวะ(พระอิศวร) พระวิษณุ และพระพรหม ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวร
เป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก  
ยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช (ราชาแห่งการร่ายรำ) 
มีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ  
แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนาน
การฟ้อนรำ ซึ่งการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคน
จะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขนละครก่อน ได้แก่  พระอิศวร 
พระนารายณ์  พระพรหม  พระพิฆเนศวร  พระพิราพ 
และพระภรตฤาษี

ความคิดเห็น